|
1#
พิมพ์หน้านี้
tT
คู่มือความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตกรด-ด่าง
นับช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมส่งผลให้มีการผลิตสารเคมีซึ่งมีคุณสมบัติไวไฟระเบิดได้ เป็นพิษ กัดกร่อน เป็นต้น โรงงานอุตสาหกรรมผลิตกรด - ด่าง เช่น กรดกำมะถัน (Sulfuric acid ; H2SO4) กรดเกลือ (Hydrochloric acid ; HCl) กรดดินประสิว (Nitric acid ; HNO3) กรดกัดแก้ว (Hydrofluoric acid ; HF) โซดาไฟ (Sodium hydroxide ; NaOH) เป็นโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นพื้นฐานที่ใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อการอุตสาหกรรมประเภทอื่นอย่างต่อเนื่อง สถานที่ตั้งโรงงานเหล่านี้มักอยู่กระจัดกระจายทั้งในปริมณฑลและต่างจังหวัด
โรงงานอุตสาหกรรมผลิตกรด-ด่างจัดได้ว่าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมอีกประเภทหนึ่งที่มีอันตรายค่อนข้างสูง มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ระเบิด สารเคมีที่เป็นพิษและกัดกร่อนจากการรั่วไหล อาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งโรคอันเนื่องจากการทำงานได้ หากขาดมาตรการในการจัดการและดำเนินการที่ปลอดภัยรวมทั้งความรู้เบื้องต้นถึงอันตรายและการป้องกันอันตรายจากสารเคมีแต่ละชนิด ดังนั้น คู่มือความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมกรด-ด่าง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติทางด้านความปลอดภัย ในการควบคุมดูแลและบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ในส่วนของการผลิต การจัดเก็บ การขนส่งและการใช้อย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันอุบัติภัยและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
ความหมายของกรด-ด่าง
กรด-ด่าง หรือสารกัดกร่อน หมายถึง สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนต่อโลหะ หรือทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อ ผิวหนังเมื่อสัมผัสโดยตรงหรือจากการสูดดมหายใจเข้าไป ความรุนแรงขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีนั้น ๆ
กรด (Acid) มาจากภาษาลาตินคำว่า acidus แปลว่า เปรี้ยว ซึ่งเป็นคุณสมบัติประจำตัวของกรดแต่ทางเคมีหมายถึงสารที่ให้โปรตรอน (H+) เช่น
HCl H+ + Cl-
H2SO4 2H+ + SO4=
กรดแบ่งออกเป็น 2 จำพวก
- - กรดอนินทรีย์ (Inorganic acid) เช่น กรดกำมะถัน กรดเกลือ กรดดินประสิว กรดกัดแก้ว
- - กรดอินทรีย์ (Organic acid) ที่มี Carboxylic group (-COOH) เช่น Acetic acid, Formic acid, Lactic acid, Lavric acid, Maleic acid เป็นต้น
กรดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- กรดแก่ หมายถึง กรดที่สามารถให้โปรตรอนออกมาได้มากหรือแตกตัวเป็นอิออนได้อย่างสมบูรณ์
- กรดอ่อน นั้นจะแตกตัวเป็นอิออนได้ไม่สมบูรณ์
กรดเข้มข้น หมายถึง กรดที่มีจำนวนโมลของกรดมากใน 1 หน่วยปริมาตรของน้ำ
ความแรงของกรดพอจะจัดลำดับ ได้ดังนี้
HClO4 , H2SO4 , HCl , HNO3 , H3PO4 , HNO2 , HF , CH3COOH , H2CO3 , HCN , H3BO3
มาก ความแรง น้อย
กรดเจือจางทำได้โดยการเทกรดลงในน้ำอย่างช้า ๆ พร้อมทั้งกวนให้เข้ากันหรือที่เรียกกันว่าการละลายกรดในน้ำจะเกิดความร้อนขึ้น ความร้อนนั้นจะแพร่กระจายไปทั่วในน้ำ กฎข้อห้ามจะไม่เทน้ำลงในกรด
ด่างที่มีฤทธิ์กัดกร่อนมากส่วนใหญ่จะเป็นสารอนินทรีย์ ด่างที่เข้มข้นมากจะเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อ เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ แอมโมเนีย ด่างจะเป็นอันตรายต่อตามากกว่ากรด
การจำแนกสารเคมีตามลักษณะและรูปร่างได้ดังนี้ 1. ฝุ่น (Dust) หมายถึง สารเคมีที่เป็นอนุภาคของแข็งที่มีขนาดเล็ก ๆ เกิดขึ้นจากการที่ของแข็งถูกบด ตี กระแทก เช่น ฝุ่นกำมะถันดิบ ฝุ่นเกลือ ฝุ่นแร่สปาร์ (CaF2) เป็นต้น
2. ฟูม (Fume) หมายถึง อนุภาคที่เป็นของแข็งซึ่งมีขนาดเล็ก ๆ เกิดจากการกลั่นตัวของไอโลหะ เมื่อโลหะได้รับความร้อนจากการหลอมเหลว เช่น ฟูมตะกั่ว ฟูมสังกะสี เป็นต้น
3. ละออง (Mist) หมายถึง อนุภาคเล็ก ๆ ที่เป็นของเหลวและแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศ เกิดจากการที่ของเหลวได้รับความดันจนเกิดการแตกตัวของอนุภาค บางครั้งละอองเล็ก ๆ อาจเกิดจากการกลั่นตัวของไอหรือก๊าซก็ได้ เช่น ละอองเล็ก ๆ ที่เกิดจากไอของกรดกำมะถัน เป็นต้น
4. ไอระเหย (Vapor) เป็นลักษณะของไอหรือก๊าซที่เกิดจากของเหลวหรือของแข็งเปลี่ยนสถานะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและ/หรือมีการเปลี่ยนแปลงความดัน เช่น ไอระเหยของน้ำมันเบนซิน ทินเนอร์ แอลกอฮอล์ เป็นต้น
5. ก๊าซ (Gas) หมายถึง ของไหลที่ไม่มีรูปร่างที่แน่นอนขึ้นอยู่กับภาชนะที่ใช้บรรจุ สามารถเปลี่ยนเป็นของเหลวหรือของแข็งได้โดยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและ/หรือความดัน เช่น ก๊าซไฮโดรเจน ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แอมโมเนีย เป็นต้น
6. ของเหลว (Liquid) หมายถึง ของไหลที่เป็นของเหลวมีรูปร่างไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับภาชนะที่ใช้บรรจุ เช่น กรดกำมะถัน กรดไนตริก กรดเกลือ เป็นต้น
การเข้าสู่ร่างกายของสารเคมี (Route of entry) สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ทางใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ
1. โดยทางหายใจ (Inhalation) เป็นทางเข้าสู่ร่างกายของสารเคมีมากที่สุด สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทุกประเภท ทั้งนี้ เนื่องจากการเปรอะเปื้อนของสารเคมีในบรรยากาศและมนุษย์ต้องหายใจอยู่ตลอดเวลา
2. โดยการกิน (Ingestion) เป็นทางเข้าสู่ร่างกายของสารเคมีน้อยมาก สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทุกประเภท นอกจากการเกิดอุบัติเหตุ การขาดสุขอนามัย เช่น ไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ดื่มน้ำหรือสูบบุหรี่ขณะปฏิบัติงาน
3. โดยการดูดซึมทางผิวหนัง (Dermal absorption) ปกติผิวหนังจะมีชั้นไขมันทำหน้าที่ป้องกันการดูดซึมของสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย แต่กรด-ด่าง มีฤทธิ์กัดกร่อนสามารถทำลายผิวหนังและชั้นไขมันทำให้ผิวหนังเป็นแผลไหม้ เกิดการระคายเคือง อาการคัน แสบร้อนและผิวหนังอักเสบตรงบริเวณนั้น ๆ
หลักในการป้องกันอันตรายจากสารเคมี 1. การป้องกันที่แหล่งกำเนิด (Source) เป็นหลักการทั่วไปที่จะต้องนำมาพิจารณาเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ถือว่าเป็นการป้องกันที่ให้ประสิทธิภาพมากที่สุด และเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างถาวร แต่มีข้อจำกัดต้องลงทุนสูงและใช้เทคนิคที่ยุ่งยาก วิธีป้องกันอันตรายที่แหล่งกำเนิดมีดังต่อไปนี้
1.1 ใช้สารเคมีอื่นที่มีพิษน้อยกว่าแทน เช่น การใช้สารไซลีนแทนสารเบนซิน เพราะสารไซลีนมีอันตรายต่อเม็ดเลือดน้อยกว่าสารเบนซินมาก แต่มีคุณสมบัติเป็นตัวละลายได้เหมือนกัน
1.2 เปลี่ยนกระบวนการผลิตใหม่ เช่น เซลไฟฟ้าแบบปรอท (Mercury cells) มีปรอทออกมาและเซลไฟฟ้าแบบไดอะแฟรม (Diaphragm cells) มีฝุ่นแอสเบสตอสออกมาอาจเกิดอันตรายกับสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมได้ จึงเปลี่ยนกระบวนการผลิตมาใช้เซลไฟฟ้าแบบเมมเบรน (Membrane cells) เป็นต้น
1.3 แยกกระบวนการผลิตที่มีอันตรายออกต่างหาก ทั้งนี้ เพื่อกำจัดการฟุ้งกระจายไม่ให้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง เช่น การแยกบริเวณที่มีฝุ่นมากออกต่างหาก แยกบริเวณที่มีก๊าซไฮโดรเจนออกจากบริเวณที่เป็นแหล่งประกายไฟ ความร้อน เป็นต้น
1.4 การสร้างภาชนะปกปิดกระบวนการผลิตหรือแหล่งของสารเคมีให้มิดชิด ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้สารเคมีฟุ้งกระจายออกไปยังบริเวณโดยรอบ
1.5 การติดตั้งระบบดูดอากาศเฉพาะที่ เช่น การสร้างประทุน (Hood) ดูดไอกรดจากการบรรจุเพื่อไปกำจัดในระบบกำจัด (Wet scrubber) ต่อไป
1.6 การบำรุงรักษาเครื่องจักร อุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพที่ดี สะอาดและเรียบร้อยอยู่เสมอ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีแพร่กระจายหรือรั่วไหลออกไปหรือเป็นที่สะสมของสารเคมีต่าง ๆ
2. การป้องกันที่ทางผ่าน (Path) ควรพิจารณาเป็นอันดับสองรองจากการป้องกันที่แหล่งกำเนิดไม่สามารถดำเนินการได้
2.1 การบำรุงรักษาสถานที่ทำงานให้สะอาดเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สะสมของสารเคมี เช่น บริเวณทำงานที่มีฝุ่นมาก ถ้าไม่ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอปล่อยให้ฝุ่นสะสมอยู่ตามที่ต่าง ๆ เมื่อเกิดกระแสลมพัดก็จะฟุ้งกระจายไปทั่ว
2.2 ติดตั้งระบบระบายอากาศทั่วไป ซึ่งอาจจะเป็นวิธีทางธรรมชาติ เช่น มีประตู หน้าต่างและช่องลมช่วยระบายอากาศหรืออาจเป็นวิธีใช้เครื่องกล เช่น การใช้พัดลมเป่าดูดอากาศออกจากบริเวณนั้น ๆ ซึ่งวิธีปกติ Plant ผลิตกรด-ด่าง จะถูกออกแบบให้อยู่กลางแจ้งเพื่อให้มีการระบายอากาศที่ดีตามธรรมชาติ
2.3 เพิ่มระยะทางระหว่างแหล่งกำเนิดของสารเคมีกับตัวบุคคลที่อาจได้รับอันตรายจากสารเคมีให้ห่างกันออกไปมากขึ้นเพราะสารเคมีจะมีอันตรายหรือความเข้มข้นน้อยลงไปเรื่อย ๆ เมื่อผู้ปฏิบัติงานเดินออกห่างจากแหล่งกำเนิดเรื่อย ๆ หรือปฏิบัติงานในห้องควบคุม (Control room)
2.4 การตรวจหาระดับหรือปริมาณของสารเคมีในบรรยากาศของการทำงานเป็นประจำ ทั้งนี้ เพื่อเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารเคมีนั้น ๆ กับมาตรฐานความปลอดภัย ถ้าตรวจพบว่าปริมาณของสารเคมีในบรรยากาศมีค่าสูงกว่าค่ามาตรฐานความปลอดภัยต้องรีบหาทางปรับปรุงแก้ไขโดยเร็ว
3. การป้องกันอันตรายที่ตัวคน (Personal or Receiver)
การป้องกันอันตรายที่ตัวบุคคลนั้นควรจะพิจารณาเป็นอันดับสุดท้าย ทั้งนี้ เพราะถึงแม้จะมีข้อดี คือ เสียค่าใช้จ่ายต่ำและปฏิบัติง่าย แต่พบว่าเป็นวิธีที่ให้ประสิทธิภาพต่ำมาก ยากในการควบคุมและเป็นการแก้ไขแบบไม่เบ็ดเสร็จ หลักทั่วไปในการป้องกันอันตรายที่ตัวบุคคลมีดังต่อไปนี้
3.1 การให้การศึกษาและฝึกอบรมแก่ผู้ปฏิบัติงานให้ทราบถึงอันตรายจากสารเคมีที่กำลังเกี่ยวข้องอยู่ ตลอดจนให้ทราบถึงวิธีการป้องกันอันตรายจากสารเคมีนั้น ๆ รวมทั้งต้องมีการติดตามผลอยู่เสมอ
3.2 การลดชั่วโมงการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นอันตรายให้สั้นลง ทั้งนี้ เพราะอันตรายจากสารเคมีนั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารเคมีและองค์ประกอบอื่น ๆ แล้วยังขึ้นกับระยะเวลาที่ได้รับหรือสัมผัสกับสารเคมีนั้น ๆ ด้วย
3.3 การหมุนเวียนหรือสับเปลี่ยนหน้าที่การปฏิบัติงาน โดยให้พนักงานได้รับสารเคมีในบางโอกาสเท่านั้น ไม่ใช่ประจำอยู่หน้าที่เดียวตลอดไป เพราะจะช่วยให้การได้รับอันตรายถูกแบ่งออกไปยังพนักงานต่าง ๆ ทำให้พนักงานแต่ละคนมีเวลาขับสารเคมีออกจากร่างกายมากขึ้น เนื่องจากระยะเวลาที่ได้รับสารเคมีจะสั้นลง วิธีนี้อาจมีขีดจำกัดในทางปฏิบัติเพราะการปฏิบัติงานบางชนิดจะไม่สามารถหมุนเวียนกันได้ เช่น งานที่ต้องใช้ความชำนาญพิเศษสูง แต่ถ้าหมุนเวียนพนักงานได้ก็จะช่วยลดอันตรายลงได้วิธีหนึ่ง
3.4 การให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานอยู่ในห้องควบคุมพิเศษ เช่น อยู่ในห้องปรับอากาศเพื่อป้องกันอันตรายจากฝุ่น เป็นต้น ตัวอย่างคนขับรถปั้นจั่นมักจะมีห้องเฉพาะที่ซึ่งมีเครื่องปรับอากาศให้เพราะจะทำให้คนขับรู้สึกเย็นสบายและช่วยป้องกันอันตรายจากฝุ่น ฟูม ก๊าซ หรือไอระเหยของสารเคมี เป็นต้น
3.5 การตรวจสุขภาพร่างกายผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีก่อนรับเข้าทำงาน เพื่อค้นหาโรคหรือสิ่งบกพร่องทางสุขภาพ ซึ่งจะช่วยเลือกคนให้เหมาะสมกับงานด้านสารเคมีและยังต้องตรวจสุขภาพพนักงานเป็นระยะภายหลังที่ได้เข้าปฏิบัติงานแล้ว เพื่อติดตามผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากทำงานเกี่ยวกับสารเคมีถ้าพบสิ่งผิดปกติหรือพบอันตรายจะได้รีบแก้ไขได้ทันท่วงที
3.6 การใช้เครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เช่น ที่ปิดปากและจมูกหรือเครื่องป้องกันอันตรายจากการหายใจ ผ้ากันเปื้อน ถุงมือ ร้องเท้า แว่นตาและที่ครอบหน้า เครื่องป้องกันเหล่านี้ถึงแม้จะใช้ง่ายและราคาถูกแต่ต้องตระหนักถึงปัญหาความไม่สะดวกหรือรำคาญจากการสวมใส่อุปกรณ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่พนักงานไม่ยอมสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าว แต่ถ้ามีแผนการเลือกซื้อ การฝึกอบรม การชักจูงส่งเสริม การใช้อย่างถูกต้อง ตลอดจนการทำความสะอาดและบำรุงรักษาอย่างดีแล้ว การใช้เครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคลดังกล่าวก็สามารถป้องกันอันตรายได้ดีพอสมควรทีเดียว
3.7 ติดตั้งก็อกน้ำ ฝักบัว ชำระร่างกาย (Shower) ที่ล้างตา (Eye wash) และอุปกรณ์การปฐมพยาบาลต่าง ๆ เพื่อสามารถใช้ได้ทันทีเมื่อมีการได้รับอันตรายจากสารเคมีในขณะทำงาน
วิธีการป้องกันอันตรายทั้ง 3 วิธี ที่กล่าวมานั้นจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันในทางปฏิบัติพบว่าโดยทั่วไปจะไม่มีวิธีไหนให้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงพิจารณาใช้ทั้ง 3 วิธีร่วมกันไปจึงจะได้ผลและเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
หลัก 3E เพื่อความปลอดภัย
1. Engineering คือการใช้ความรู้ทางวิชาการด้านวิศวกรรมต่าง ๆ มาใช้ในการคำนวณออกแบบเครื่องจักร อุปกรณ์ที่มีสภาพการใช้งานที่ปลอดภัยที่สุดขณะใช้งานในสภาวะปกติ การเลือกใช้วัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อน อุณหภูมิและความดันที่เหมาะสมและจะต้องพิจารณาออกแบบเครื่องป้องกันอันตราย (Machine guarding) ใช้สำหรับปกปิดหรือปิดกั้นส่วนที่เป็นอันตรายมิให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าไปสัมผัสได้ นอกจากนั้นยังสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ทางด้านวิศวกรรมในการแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้แรงงาน เช่น การใช้ฉนวนหุ้มเพื่อป้องกันการแผ่รังสีความร้อน เสียงดัง การระบายอากาศ การจัดแสงสว่างให้เหมาะสม เป็นต้น หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะต้องทำการสอบสวน วิเคราะห์อุบัติเหตุทันที เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อจะได้นำไปหาวิธีป้องกันมิให้อุบัติเหตุลักษณะเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก
2. Education คือ การให้การศึกษา อบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความสามารถในการทำงานให้เพิ่มมากขึ้น ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุบัติเหตุ การเสริมสร้างจิตสำนึกความปลอดภัย ความรู้เกี่ยวกับสารเคมี อันตรายและการป้องกันอันตรายจากสารเคมี และจะต้องให้ความรู้ตั้งแต่ก่อนเข้าปฏิบัติงานโดยการฝึกอบรม หรือสอดแทรกความรู้ประสบการณ์ควบคู่ไปกับการสอนขั้นตอนการปฏิบัติงานปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทธิผลมากขึ้น การชี้แจงถึงอันตรายในแต่ละขั้นตอนการทำงานพร้อมทั้งแนะนำวิธีการป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุการกระตุ้นให้ตระหนักถึงอันตรายอยู่ตลอดเวลา
3. Enforcement คือ การออกกฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับ เพื่อความปอลดภัยเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงานในกลุ่มคนหมู่มาก รวมทั้งมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย (SOP) เพื่อให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติทางเดียวกันและเป็นมาตรการควบคุม บังคับให้พนักงานปฏิบัติ โดยประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ เพื่อให้เกิดความสำนึกและหลีกเลี่ยงการทำงานที่ไม่ปลอดภัยหรือเป็นอันตรายต่อไป
การนำหลัก 3E ไปปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการทำงานนั้นจะต้องดำเนินการทั้ง 3E พร้อม ๆ กัน จึงจะทำให้การป้องกันอุบัติเหตุได้ผล โดยเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบ การเลือกอุปกรณ์ วัสดุ การติดตั้ง การทดสอบที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ต้องมีการฝึกอบรมให้ความรู้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย รวมทั้งกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ บทลงโทษให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
|
|